พาหนะที่ทรงประทับ
สัตว์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายนก ดวงตากลมโปน โต แก้มเป็นกระพุ้ง จะงอยปากใหญ่
งุ้มแข็งแรง ปากจะงอยมีรูทะลุคล้ายกับจะแขวนกระดิ่งได้ มีเขาทั้งคู่บิดเป็นเกลียว งอเข้า
หากันคล้ายเขาโค ตั้งอยู่เหนือตา ที่โคนเขามีหูสองหู อย่างหูโค มีปีสองข้างขนาดใหญ่
ขาทั้งสองข้างพับแนบทรวงอก อกเชิดขึ้นอย่างขาของครุฑ ที่กำลังเหินลม ซึ่งเรียกว่าเป็น
ปางเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ หลังจากทรงเทศโปรดพระพุทธมารดาที่ดุสิตาลัย ด้านหลังองค์

พระมีประภามณฑล(ลายเปลวเพลิง)เป็นรูปกลมรีอย่างรูปไข่ รอบๆประภามณฑลมีรวดราย
งดงามมาก ความสูงจากพื้นล่างสุดถึงประภามณฑล 20 ซ.ม. ความกว้างของปีกทั้งสอง
ข้างคือ 24 ซ.ม. หลังองค์พระและประภามณฑลส่วนที่ตรงกับตัวนกมีเดือยรูปสี่เหลี่ยม
จัตุรัสยาวด้านละ 4 ซ.ม. จวนจะสุดปลายมีรูเจาะทะลุไว้ใส่สลัก เมื่อประดิษฐานองค์พระ
จะได้ใส่สลักที่เดือยให้แน่น ไม่หลุดออกได้
ประกาศกรมศิลปากร
พระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดี(โบราณวัตถุ) กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3684
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น