วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553


พาหนะที่ทรงประทับ


สัตว์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายนก ดวงตากลมโปน โต แก้มเป็นกระพุ้ง จะงอยปากใหญ่


งุ้มแข็งแรง ปากจะงอยมีรูทะลุคล้ายกับจะแขวนกระดิ่งได้ มีเขาทั้งคู่บิดเป็นเกลียว งอเข้า


หากันคล้ายเขาโค ตั้งอยู่เหนือตา ที่โคนเขามีหูสองหู อย่างหูโค มีปีสองข้างขนาดใหญ่


ขาทั้งสองข้างพับแนบทรวงอก อกเชิดขึ้นอย่างขาของครุฑ ที่กำลังเหินลม ซึ่งเรียกว่าเป็น


ปางเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ หลังจากทรงเทศโปรดพระพุทธมารดาที่ดุสิตาลัย ด้านหลังองค์



พระมีประภามณฑล(ลายเปลวเพลิง)เป็นรูปกลมรีอย่างรูปไข่ รอบๆประภามณฑลมีรวดราย

งดงามมาก ความสูงจากพื้นล่างสุดถึงประภามณฑล 20 ซ.ม. ความกว้างของปีกทั้งสอง


ข้างคือ 24 ซ.ม. หลังองค์พระและประภามณฑลส่วนที่ตรงกับตัวนกมีเดือยรูปสี่เหลี่ยม


จัตุรัสยาวด้านละ 4 ซ.ม. จวนจะสุดปลายมีรูเจาะทะลุไว้ใส่สลัก เมื่อประดิษฐานองค์พระ


จะได้ใส่สลักที่เดือยให้แน่น ไม่หลุดออกได้









ประกาศกรมศิลปากร


พระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดี(โบราณวัตถุ) กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ


ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3684


เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น